วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ญี่ปุ่นแจ้งเกิดหุ่นยนต์ทนฝน เล็งเทียบชั้นคนงานก่อสร้าง

Japanese humanoid happy to work on in the rain

คนงานก่อสร้างเตรียมทำใจตกงาน เมื่อบริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์สัญชาติญี่ปุ่นโชว์ตัวหุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่สามารถทำงานได้กลางสายฝน ระบุด้วยว่าอีก 3 ปีข้างหน้าอาจจะสามารถวางจำหน่ายให้กับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ถือเป็นการยกระดับความสามารถในการทำงานของหุ่นยนต์ให้ใกล้เคียงมนุษย์ได้อย่างน่าจับตามองหุ่นยนต์ทนฝนนี้มีนามว่า HRP-3 Promet Mk-II ผลงานการพัฒนาของบริษัทคาวาดะอินดัสทรีส์ (Kawada Industries) เป็นหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ลำตัวสีขาวความสูง 160 เซนติเมตร (5 ฟุต 10 นิ้ว) น้ำหนัก 68 กิโลกรัมหรือประมาณ 149 ปอนด์ (รวมแบตเตอรี่) ใบหน้าสวมแว่นกันแสงอาทิตย์ บริเวณมือสามารถเกาะยึดและสามารถสร้างสมดุลย์ลำตัวขณะเคลื่อนที่โดยการถ่วงน้ำหนักช่วงแขนเช่นเดียวกับมนุษย์ นอกจากจะสามารถทำงานท่ามกลางสายฝน HRP-3 Promet Mk-II ยังสามารถเคลื่อนที่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยทราย กรวด หรือเจิงนองด้วยโคลนลื่น งานนี้คาวาดะฯสาธิตการทำงานของ HRP-3 Promet Mk-II แก่สื่อมวลชนโดยจำลองสภาพอากาศฝนตก พร้อมให้หุ่นยนต์เดินบนพื้นห้องที่โรยด้วยทราย ซึ่งหุ่นยนต์ก็สามารถทำงานได้ตามปกติคาวาดะฯอธิบายถึงแนวคิดการพัฒนาหุ่นยนต์ตัวนี้ว่า ต้องการพัฒนาหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ที่สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมแท้จริงทุกสภาพอากาศ ซึ่งจะถือเป็นจุดเด่นที่ช่วยสร้างความต่างให้กับคาวาดะฯ"เราต้องการนำหน้าคู่แข่งด้วยการสร้างหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ที่ทำงานได้ในสภาพแวดล้อมจริง" ตัวแทนบริษัทคาวาดะฯกล่าวแถลงการณ์ร่วมกับบริษัทคาวาซากิ เฮฟวี อินดัสทรีส์ (Kawasaki Heavy Industries) และสถาบันเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรมชั้นสูงนานาชาติหรือ National Institute of Advanced Industrial Science and Technology เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา"ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีปัญหาเรื่องประชากร ปัญหานี้จึงเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถปฏิบัติงานแทนมนุษย์อย่างจริงจัง" คาวาดะฯแถลง โดยระบุว่าจะเป็นผลดี หากมีการพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับหน้าที่การงานซึ่งมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ "หากหุ่นยนต์สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ เชื่อว่าต้นทุนสังคมจะสามารถลดลงได้ในระดับหนึ่ง"ทากาคัตสึ ไอสุซุมิ (Takakatsu Isozumi) ผู้จัดการโครงการบริษัทคาวาดะฯ เปิดเผยถึงแผนการทำตลาด HRP-3 Promet Mk-II ว่ามีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถจำหน่ายได้จริงในช่วงปี 2010 หรือ 3 ปีนับจากนี้ สนนราคาพนักงานก่อสร้างไฮเทคคาดว่าจะอยู่ที่ 15 ล้านเยนต่อตัว (ประมาณ 3.88 ล้านบาท)"เราวางแผนว่าจะเพิ่มความสามารถให้หุ่นยนต์สามารถทำงานในสายงานก่อสร้างได้ อย่างเช่นความสามารถในการขับรถผสมปูนหรือรถอื่นๆที่ใช้ในงานก่อสร้าง"ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศชั้นนำในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์มานานหลายปีทั้งในด้านการพัฒนา การผลิต และการนำไปใช้งานจริง ไม่ว่าะเป็นหุ่นยนต์เพื่อความบันเทิง หุ่นยนต์ทุ่นแรง หรือหุ่นยนต์เพื่อการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นอย่างมิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสทรีส์ (Mitsubishi Heavy Industries) ประกาศให้บริการเช่าหุ่นยนต์ฝ่ายต้อนรับแก่โรงพยาบาลแล้ว เพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูล รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยในโรงพยาบาล




ญี่ปุ่นโชว์"หุ่นยนต์โทรศัพท์"

เคดีดีไอ (KDDI) โอเปอเรเตอร์รายใหญ่ของญี่ปุ่นเปิดตัวหุ่นยนต์ต้นแบบที่ผู้ใช้สามารถวาง โทรศัพท์มือถือไว้ภายในหุ่น เพื่อให้หุ่นทำหน้าที่เป็นทั้งนักโภชนาการและเพื่อนส่วนตัวได้ หลักการทำงานคือการนำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ในเครื่องโทรศัพท์ มาประมวลผลเป็นคำแนะนำในด้านต่างๆเช่น การดูแลสุขภาพ หรือการผ่อนคลายด้วยการเล่นเพลงโปรด หุ่นยนต์โทรศัพท์นี้เป็นผลงานความร่วมมือระหว่างเคดีดีไอและบริษัท ฟลาวเวอร์โรโบติกส์ (Flower Robotics) ใช้ชื่อเรียกว่า iida Polaris มีลักษณะคล้ายแท่นวางโทรศัพท์มือถือทรงกระบอกปลายมนที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ภายในมีแท่นวางโทรศัพท์มือถือทรงบาร์หน้าจอทัชสกรีน ที่จะเป็นแหล่งประมวลของเลขาส่วนตัวรุ่นจิ๋วนี้ ลักษณะ ภายนอกของ Polaris นั้นชวนให้นึกถึงเครื่องเล่นเพลง MP3 ดิ้นได้ของโซนี่นาม Sony Rolly แต่การทำงานนั้นไม่ใช่ Polaris สามารถตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ, ประมวลผลข้อมูลการลดความอ้วนของเจ้าของ และบันทึกข้อมูลกิจกรรมระหว่างวันของเจ้าของเครื่องได้ เรียกว่าครบเครื่องเรื่องนักโภชนาการ นอกจากข้อมูลโภชนาการ Polaris ยังสามารถอัปเดทข่าวธุรกิจ พยากรณ์อากาศ หรืออาจใช้เป็นรีโมทคอนโทร์ลทีวีที่บ้านได้ด้วย ทั้งหมดเป็นเพียงต้นแบบเท่านั้น เคดีดีไอระบุว่ายังไม่มีแผนผลิตจริงในขณะนี้ ด้านล่างคือวิดีโอหลักการทำงานของ Polarisนาม Hideo Kambara เป็นโทรศัพท์มือถือสไลด์ที่มองเผินๆเหมือนแฟ้มเอกสารต่างสีวางซ้อนกัน โดยแต่ละชั้นจะมีปุ่มที่สามารถกดเพื่อเปิดฟังก์ชันการทำงานหลากหลายของ เครื่องได้ ปุ่มดีไซน์เก๋นี้เรียกว่า “Tab-Key” มาพร้อมหน้าจอสีขนาด 3 นิ้ว กล้อง 3 ล้านพิกเซลโฟกัสอัตโนมัติ มีระบบจับภาพใบหน้า ขนาดตัวเครื่อง 102×53×14.5 มม. น้ำหนัก 127 กรัม ขณะที่รุ่น Prismoid เป็นโทรศัพท์ฝาพับหน้าจอ 2.7 นิ้ว มีหน้าจอขนาดจิ๋วอยู่ด้านข้างเพื่อบอกวันที่และเวลา รองรับเทคโนโลยี GPS กล้องดิจิตอล 2 ล้านพิกเซล มีช่องสำหรับเสียบ MicroSD และ MicroSDHC Card ข้อมูลจาก CrunchGear ระบุว่าผู้ร่วมพัฒนา Polaris อย่าง Flower Robotics นั้นเป็นเจ้าของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ Palette หรือหุ่นยนต์แบบแสดงเสื้อที่สามารถเปลี่ยนท่าทางได้อัตโนมัติ รายงานระบุว่าทั้งสองรุ่นจะเริ่มชิมลางในญี่ปุ่นปลายเดือนกันยายนนี้ ไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายแต่อย่างใด


เทศกาล “Japan Culture and Hyper Culture” ในกรุงวอชิงตัน

เทศกาล “Japan Culture and Hyper Culture” จะจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมเคนเนดี้ ในกรุงวอชิงตัน งานนี้มีระยะเวลาจัดแสดง 2 สัปดาห์และ มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมและเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น การฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่น การแสดงดนตรี แฟชั่น สถาปัตยกรรม รวมทั้งความสำเร็จทางเทคโนโลยีไฮเทค อย่างหุ่นยนต์ญี่ปุ่นด้วย
หุ่นยนต์ในจิตนาการของภาพยนตร์ฮอลลิวู้ดนั้น เป็นหุ่นยนต์ที่คิดเองได้ไปแล้ว แต่สำหรับหุ่นยนต์จริงๆของญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ ถูกตั้งโปรแกรมให้เป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้พิการหรือคนชรา คุณอลิเซีย โจนส์ จากบริษัทอเมริกัน ฮอนด้า มอร์เตอร์ บอกว่า เป้าหมายการสร้างหุ่นยนต์แบบฮิวแมนนอยส์ หรือ หุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์ อย่างหุ่นยนต์อะซิโม่ ก็คือ เพื่อให้เป็นหุ่นยนต์ประจำบ้าน ที่สามารถช่วยเหลือคนแก่ หรือคนป่วย หรือคนที่ต้องนั่งรถเข็นได้ หุ่นยนต์อะซิโม่ ซึ่งสร้างโดยบริษัทผลิตรถยนต์ประเทศญี่ปุ่นสามารถวิ่ง เดินขึ้นบันได หรือแม้แต่เต้นรำได้ นอกจากนี้คุณโจนส์ยังบอกว่า หุ่นยนต์อะซิโม่ยังมีอนาคตอีกไกล
คุณโจนส์บอกว่า หุ่นยนต์อะซิโม่ใช้เทคโนโลยีที่สามารถจำคนและจำเสียงได้ ซึ่งถ้าในอนาคตอะซิโม่ได้เป็นหุ่นยนต์ประจำบ้าน เจ้าของก็สามารถตั้งโปรแกรมให้จำเสียงเจ้าของได้ และอะซิโม่ก็สา มารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ด้วย
ตอนนี้หุ่นยนต์อะซิโม่ยังไม่ได้ออกวางตลาด แม้ว่าจะมีจำนวนมากขึ้นแล้ว และทางบริษัทฮอนด้าเองก็ยังไม่ได้ตั้งราคาด้วย แต่ก็มีหุ่นยนต์ขนาดเล็กกว่าที่สามารถซื้อมาไว้เป็นหุ่นยนต์ประจำบ้านได้แล้วเหมือนกัน อย่างเช่นหุ่นยนต์ลูกแมวน้ำที่มีชื่อว่า พาโร่
คุณแชนนอน เพอร์คีย์ จากโรบ็อตโทเปีย ไรซิ่ง บอกว่า หุ่นยนต์พาโร่ เป็นหุ่นยนต์เพื่อการบำบัด พาโร่สามารถช่วยบำบัดจิตใจให้เด็กๆ หรือคนป่วยที่ต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานๆได้ สำหรับหุ่นยนต์วากามารุ ของบริษัทผลิตรถยนต์มิตซูมิชิ เป็นหุ่นยนต์ทำงานในโรงพยาบาล ซึ่งสามารถนำคนป่วยไปสู่จุดหมายที่ห้องต่างๆได้
แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้างเพราะวากามารุ ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหุ่นยนต์พนักงานต้อนรับที่มีหน้าตาเหมือนมนุษย์อีกด้วย
เมื่อเทคโนโลยีการผลิตหุ่นยนต์ของญี่ปุ่นพัฒนาก้าวไกลไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตอัน ใกล้นี้ หุ่นยนต์ประจำบ้านอาจจะกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวเราเหมือนกับการใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในทุกมุมโลกอย่างในปัจจุบันก็ได้

ญี่ปุ่นระดมสร้างพลเมืองหุ่นยนต์ เป็นครูสอนหนังสือเด็ก

นักเรียนญี่ปุ่นรุ่นต่อไป จะต้องรู้สึกชอบเรียนวิชาคำนวณและวิทยาศาสตร์กันมากขึ้น เพราะจะมีหุ่นยนต์เป็นครูคอยประสิทธิ์ประสาทวิชาให้
หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ” ของอังกฤษ รายงานว่าญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ครั้งสำคัญ เมื่อสร้างหุ่นยนต์ครูสอนหนังสือขึ้นได้ สามารถจะเรียกชื่อ และดุว่านักเรียนได้ โดยขณะนี้กำลังทดลองในโรงเรียนประถมศึกษา ในกรุงโตเกียวแห่งหนึ่งอยู่
หุ่นยนต์ครูมีชื่อว่า “ซายา” พูดได้หลายภาษา เรียกชื่อนักเรียน และสั่งงานให้เด็กทำได้ มีใบหน้าทำด้วยยาง สามารถแสดงสีหน้าได้ต่างๆ ตั้งแต่อาการโกรธเกรี้ยวก็ได้ เนื่อง จากภายในติดตั้งมอเตอร์รวมด้วยกัน 18 เครื่อง ข่าวกล่าวว่า ญี่ปุ่นมีโครงการจะสร้างหุ่นยนต์สำหรับทำงานต่างๆ ตั้งแต่เป็นพนักงาน เลขานุการ เพื่อจะช่วยให้บริษัทห้างร้านต่างๆ ลดค่าใช้จ่ายในการใช้แรงงานลงได้
ศาสตราจารย์ฮิโรชิ โคบายาชิ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นนักประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้สร้างหุ่นยนต์ มานาน 15 ปีแล้ว เป็นผู้สร้างหุ่นยนต์เพื่อใช้งานในชีวิตด้านต่างๆ ในญี่ปุ่น อย่างเช่นหุ่นยนต์ควบคุมการจราจร และกำลังประดิษฐ์หุ่นยนต์เพื่อใช้เป็นผู้คอยดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมอยู่ รัฐบาลชาติอาทิตย์อุทัยตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี พ.ศ. 2558 นี้ บ้านในญี่ปุ่นทุกหลัง จะมีหุ่นยนต์คนใช้กันหมด โดยได้ทุ่มงบเกือบ 1,150 ล้านบาท ในการสร้างอุตสาหกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะขึ้น เนื่องจากความห่วงใยว่า ญี่ปุ่นกำลังมียอดพลเมืองที่เป็นผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น ภายในเวลา 7 ปีข้างหน้านี้ ชาวญี่ปุ่นใน 4 คน จะเป็นผู้สูงอายุ อายุเกิน 65 ปี เสีย 1 คน.


อ้างอิงจาก http://variety.teenee.com/science/13794.html

Mk สุกี้ เจ๋ง ใช้ หุ่นยนต์รับออเดอร์

ผลงานทีมแชมป์หุ่นยนต์กู้ภัย สนับสนุนโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ตั้งเป้าบุกตลาดหุ่นยนต์ญี่ปุ่นภายใน 3ปีข้างหน้า
ดร. ศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สนช.ได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 1,082,000 บาท ให้กับ บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด พัฒนาหุ่นยนต์บริการอัจฉริยะ หุ่นยนต์บริการตัวแรกของไทยที่ผลิตเชิงพาณิชย์ และที่สำคัญพัฒนาจากวิศวกรไทย อดีตนักศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ นำโดย นายอดิศักดิ์ ดวงแก้ว หัวหน้าทีมที่ชนะเลิศจากการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยชิงแชมป์โลกในปี 2549 และ2550

โดยหุ่นยนต์ดังกล่าวมีชื่อว่า หุ่นยนต์ซีที (CT) มีคุณสมบัติพิเศษให้บริการรับคำสั่งด้วยเสียงอัตโนมัติ สื่อสารกับมนุษย์ได้ 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ กับภาษาไทย เคลื่อนที่ด้วยล้อได้รอบทิศทางในพื้นราบด้วยพลังงานแบตเตอรี่อยู่ได้นาน 3 ชั่วโมง สามารถยกสิ่งของได้ไม่ต่ำกว่า 5 กิโลกรัม เบื้องต้น บริษัท สุกี้เอ็มเค เรสเตอร์รอง จำกัด ได้ติดต่อขอซื้อไปทดลองใช้งานจริงจำนวน 10 ตัวแล้ว รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้เป็นหุ่นยนต์บริการต้อนรับและรับคำสั่งอาหารให้กับลูกค้า เพื่อสร้างสีสันให้กับร้าน
ด้าน นายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็มเคฯ กล่าวว่า สนใจจะนำหุ่นยนต์ดังกล่าวมาให้บริการเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถไปติดตั้งตามสาขาต่างๆ ได้ภายในต้นปีหน้า อาทิ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ อย่างเช่น เซ็นทรัล ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต

ญี่ปุ่นโชว์หุ่นยนต์เสียงทอง HRP-4C

หลังจากนางแบบ แม่บ้าน และพนักงานต้อนรับถูกหุ่นยนต์แย่งงานไปแล้ว ครั้งนี้ถึงคราวนักร้องบ้างที่ต้องหวั่นใจ ล่าสุดญี่ปุ่นนำหุ่นยนต์เด็กสาว “HRP-4C” มาพัฒนาร่วมกับโปรแกรมสร้างนักร้องไซเบอร์ เกิดเป็นหุ่นยนต์นักร้องสาวไซเบอร์ที่สวยทั้งหน้าตาและเสียงร้อง…HRP-4C เป็นหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ที่พัฒนาโดยสถาบัน AIST (National Institute of Advanced Science and Technology) สำหรับโปรแกรมสร้างนักร้องไซบอร์กนั้นมีชื่อว่า “Vocaloid” เป็นผลงานการพัฒนาของยามาฮ่า (Yamaha) ทั้ง 2 เทคโนโลยีถูกเปิดตัวต่อสาธารณชนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้คือครั้งแรกที่มีการสาธิตเทคโนโลยีร่วมกัน HRP-4C เป็นหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ที่สามารถสื่อสารด้วยการพูดและแสดงออกทางสีหน้า น้ำหนักเพียง 43 กิโลกรัมเท่านั้น มีความสูง 158 เซนติเมตร หลังจากชาร์จแบตแล้วจะทำงานอยู่ได้ 20 นาที ขณะที่ Vocaloid เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของผู้ผลิตเครื่องดนตรีอย่างยามาฮ่าที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2006 ในวงการอินเทอร์เน็ต

ญี่ปุ่นเปิดใช้หุ่นยนต์รับแขกในโรงพยาบาล

ติดต่องานคล่องแคล่ว




ขณะนำทางเด็กน้อย






โรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นเปิดตัวหุ่นยนต์พนักงานต้อนรับตัวใหม่ สามารถแนะนำเส้นทางผู้ป่วยหรือผู้สัญจรไปมาในโรงพยาบาลได้อย่างคล่องแคล่ว ได้รับการการันตีว่าเป็นหุ่นยนต์ต้อนรับสัญชาติญี่ปุ่นตัวแรกที่สามารถปฏิบัติงานได้จริง
หุ่นยนต์ตัวนี้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่โรงพยาบาลอิซูเซ็นทรัล (Aizu Central Hospital) ในเมืองอิซุ - วาคามัทซึ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียว 200 กิโลเมตร ฝีมือการผลิตโดยบริษัท Tmsuk ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์ของประเทศญี่ปุ่น สนนราคาตัวละ 60 ล้านเยน หรือประมาณ 18.66 ล้านบาท
หุ่นยนต์ตัวนี้จะคอยเอ่ยคำต้อนรับผู้ที่สัญจรไปมาบริเวณทางเข้าโรงพยาบาล และให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ที่เข้ามาสอบถามรายละเอียดของโรงพยาบาล นอกจากหุ่นยนต์ต้อนรับแล้ว โรงพยาบาลอิซูฯยังมีหุ่นยนต์ส่งของจำนวน 2 ตัวมาร่วมปฏิบัติงานด้วย เป็นหุ่นยนต์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ 2 ล้อด้วยความเร็ว 1.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถขนส่งสัมภาระและนำทางผู้ป่วยมายังแผนกงานในโรงพยาบาลที่ถูกต้องได้
หุ่นยนต์เหล่านี้มีความสูง 1.3 เมตรหรือประมาณ 4 ฟุต 4 นิ้ว สีขาวคาดเขียว สามารถรับรู้ว่ามีผู้สัญจรไป มาบริเวณรอบตัวได้ เพราะมีเซ็นเซอร์จำนวนมากฝังอยู่ภายในหุ่น

" นี่คือหุ่นยนต์ต้อนรับตัวแรกของญี่ปุ่นที่สามารถทำงานในโรงพยาบาลได้จริง และเสียงตอบรับจากผู้บริโภคที่เรียกใช้งานหุ่นยนต์ตัวนี้ก็ไปในทิศทางที่ดี " นาโอยะ นาริตะ (Naoya Narita) พนักงานของโรงพยาบาลกล่าว " จุดประสงค์ของการเปิดตัวหุ่นยนต์เหล่านี้ คือการแสดงให้เห็นถึงทิศทางของโรงพยาบาลในโลกอนาคต ซึ่งจะเป็นที่ที่หุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทกับผู้ป่วยและผู้สัญจรไปมาในโรงพยาบาล " นาริตะกล่าว พร้อมระบุว่าทางโรงพยาบาลยังมีแผนที่จะเปิดตัวหุ่นยนต์ตัวอื่นๆในปีหน้าด้วย ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทั้งในด้านหุ่นยนต์เพื่อความบันเทิงและหุ่นยนต์เพื่อการรักษาความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นได้มีการเปิดตัวหุ่นยนต์ต้นแบบมากมายในงานแสดงหุ่นยนต์ World Expo ที่จัดขึ้นที่กรุงโตเกียวเป็นประจำทุกปี

หุ่นยนต์ กับ การดูจิต

นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) ใคร่ขอ นำเสนอ ธรรมะ ต่อ ท่านผู้อ่าน ดังนี้

1) เคยดูหนังหุ่นยนต์ญี่ปุ่นไหม ? ที่มีหุ่นยนต์ตัวใหญ่ๆ มี มนุษย์เป็นคนขับ นั่งสั่งงานอยู่ภายใน คนขับหุ่นยนต์ เหล่านี้ ในหนังบางเรื่อง จะมีการโยง สายไฟฟ้าให้ การขยับแขน ขยับขา ได้ และตรงกับ การเคลื่อนไหว ของ หุ่นยนต์ที่ตนบังคับอยู่ ( เป็นแบบ real time).....อุปมาเหมือน กับ ร่างกายของเรากับจิตของเรา......ท่านผู้อ่าน ลองคิดดูนะว่า “.ร่างกายเป็นอะไร.? เป็น..ตัวหุ่นยนต์ หรือ คนขับ กันแน่ ?

2) ท่านผู้อ่าน ลอง ดูมือ ดูแขน ของท่าน ....ลองสั่งให้แขน ยกขึ้นซิ ...จะเห็นว่า มี สองจังหวะ ครับ...คือ คิดก่อน และ มีอะไรสักอย่าง ยกแขนขึ้นมา.....ลองดูใหม่นะ

3) ตอน พิมพ์ดีด เขียนบทความนี้ ....อะไรหนอ สั่งนิ้ว ...ดูให้ดีๆ นะ...*** คนที่ฝึก มหาสติฯ มาก่อน จะพบว่า มีจิต มีสติ และมี สมอง ...โดย พวกเขา จะทำจิตให้สงบๆ แล้วปล่อยให้” สติ” ไปสั่งสมอง สมองไปสั่งนิ้ว *** คนที่ฝึกสติมาน้อย...จะพบว่า มี สมอง กับ จิต ยังมองไม่เห็น เรื่อง สติ ชัดเจน หรือ ใช้สติไม่เต็มที่...ดังนั้น บ่อยครั้ง สมองกับจิต จึงทำงานร่วมกัน..... *** คนที่ไม่ได้ฝึกสติมาเลยนั้น....แยกไม่ออกว่า มีจิต มีสติ....พวกเขา เห็นแต่สมองเท่านั้น....ถ้ามีเหตุการณ์ กระเทือนจิตมากๆ เช่น โดนด่า อกหัก สูญเสียของรัก ฯลฯ...สติจะขาดทันที....จิตที่ร้อนลน เป็นอกุศล จะ พาให้ ตอบสนอง ทางกาย วาจา ใจ แบบอกุศล ก่อเวร ก่อกรรม

4) มิจฉาทิฐิ คือ การที่เรา ปล่อยให้ จิต กับ สมอง รวมตัวกัน ....ดังนั้น ถ้า จิตอกุศล ย่อมแน่นอนที่ สมองจะอกุศล และ ก่อ กาย วาจา ใจ ที่เป็น อกุศล.....นี่แหละ พวกเขา เหล่านั้น ขาดสติเป็นตัวขวางกั้น ไม่มีสติ เป็นตัวตัด จิต ออก จาก สมอง

5) ตอนที่เรา เดินนั้น ลองพิจารณาดูนะว่า “ ใครกำลังเดินอยู่.?” ลองออกไปเดินดู อย่าเพิ่งตอบ ...

6) ลองมโนภาพ ว่า ที่ในตัวเรา มีคนขับหุ่นยนต์อยู่ ( จิต) และ หุ่นยนต์ตัวใหญ่ ก็คือ ร่างกายของเรา ...ดังนั้น เวลา เดิน ใครเป็นคนเดิน ? หาพบหรือยังละ

7) ตอนที่เท้า กระทบพื้น รู้ได้อย่างไรว่ากระทบแล้ว.....สัญญา มันบอกว่ากระทบ ...มีเวทนาตามมาไหม....ปรุงแต่ง ( คิด ไปเรื่องอื่น คิดนอกเรื่อง คิดแตกแขนง ฝันกลางวัน ฯลฯ ต่อไหม ) .....ลองเดินดูนะ ....จิตนิ่งๆ สักแต่ว่า รู้ กระทบก็ให้รู้ว่ากระทบ ยกก็ให้รู้ว่ายก เหยียบก็ให้รู้ว่าเหยียบ.....แต่ จิตนิ่ง ( รักษา ความสงบ ภายในกาย ภายในใจ เอาไว้) .....เวลาเดิน บางคนเดินแบบ จิตไปสั่งให้เดิน อันนี้ก็ต้องดูให้รู้นะ ว่าจิต .....บางคน เดินไม่เป็น เอาแต่ บริกรรม ยก ย่าง เหยียบ...กลายเป็น ท่องจำ พร้อมเดินไปด้วย นี่แหละ เรียกว่า แบบขาดสติ...และ หลงทาง อีกต่างหาก...ถ้าโชคดีมี.ครูบาอาจารย์ที่หมั่นดู หมั่นแก้ให้ ก็ดีไป.....ถ้ากรรมมาบัง เรา ดันไปเจออาจารย์ที่ แยก สติ จิต กาย ยัง ไม่เป็น แต่ รีบร้อน มาสอน เราก็หลงทางไปพร้อมกับท่านนั่นแหละ

8) ทีนี้ เข้าใจไหม ใครเห็น ใครเดิน ใครกิน ใครคิด .....ตอบได้หรือยัง......แยก จิต กับ กาย ได้หรือยังละ

9) บางคน ที่ห่วง แต่ ความสวยความงามของร่างกาย ....นี่แหละเพราะ เขาอาจจะยังไม่เข้าใจว่า ...จิตของเราเป็น อมตะ...ไม่มีวันตาย.....จิตออกจากร่างกาย ก็อาจจะไปหา หุ่นยนต์ตัวใหม่อยู่ ...หรือ ??? คนที่ จิต กับ สมอง ปนกัน แยกไม่ออก ก็อาจจะไป ร่างใหม่ ที่ไม่ต้อง คิดมาก เช่น สัตว์ต่างๆ เพราะ ยังไม่เข้าใจ เรื่อง สติ ยัง หลงอยู่ แต่ คนที่ตายแล้ว จิตยังห่วงงาน ห่วงเมีย ห่วงสมบัติ ฯลฯ จิตก็กลายสภาพเป็นเปรต ไม่ หุ่นยนต์ (ไม่มี กายเนื้อ) คนที่ จิต โมโห โทโส ร้อนรุ่ม ก็ไปหาที่ ร้อนๆ อยู่ เช่น นรกบ้าง เป็น ยักษ์บ้าง ( ตามหลักวิทยาศาสตร์ จิตร้อน ยังเอาไปที่เย็นๆ ไม่ได้ เพราะ ก็เหมือน เอา ของร้อน จุ่มน้ำแข็ง ผลคือ แตกครับ ) คนที่จิตโลภมากๆ ก็ ไปเป็น เปรต เป็นอะไรไปตามเรื่องคนที่ จิตเป็นกุศล แต่ แยก สติไม่เป็น ทำบุญเป็น แต่ ทำความเข้าใจเรื่อง กาย เรื่องจิต ( แยก รูป แยกนาม ไม่ได้) เมื่อ จิตออกจากร่าง ก็ไปเป็น เทวดา เป็นคนสวย คนรวย ....เป็นเทวดา ไม่มีกายเนื้อ ไม่มีเวทนา....ไม่มีหุ่นยนต์ให้ขับอีก....ฝึกมหาสติฯ สี่อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม พร้อมกัน ได้ไม่ง่ายนัก

10 ) ....จิตบางคนมีพลังมาก ขนาดไฟไหม้ยังยกตุ่มได้ .เจ็บปวดยังข่มเวทนาได้...เพ่งกสิณยังดัดช้อนให้งอ หรือ ตัดตะเกียบขาดได้.....แต่ “สติอยู่ตรงไหน? กลับหาไม่เจอ “ นี่แหละ....ฝึกกสิณได้แล้ว ก็ต้องมาฝึก วิปัสสนาต่อครับอย่าหยุดแค่นั้น

11) บางท่าน ฝึกเดินๆๆ จนเป็นสมถะ เห็น วงสีขาวๆกลางอก....บ้างเห็น ดอกบัว บาน หุบ ในนิมิต.....พอเราเตือนว่า “ใครเห็นนิมิต” ...พวกเขา.บางทีก็เถียงมาว่า “ เห็น อนิจจัง เห็นดอกบัว เกิดดับ. ครับ เห็นธรรม แล้วครับ นี่แหละ ปัญญา นี่แหละวิปัสสนา”... ผมขอบอกว่า อันนี้ไม่ใช่นะ...อันนี้ เป็น สมองของท่าน คิดเองนะ เป็นแค่ระดับสัญญาเท่านั้นหนา .ไปบังคับดอกบัวให้มันเกิด มันเหี่ยว .... อันนี้...ยังไม่ได้ ฝึก สติ ไม่ได้ฝึกปัญญาเลย...พวกนี้ ฝึกต่อไป ก็ได้ ฌาน ได้ฤทธิ์ ....หลงแล้ว !!! .... ยังหาทางออกจากวัฎสงสารไม่เจอ...ตายไปเป็นพรหมบ้าง .เทวดาบ้าง..หมดความเป็นพรหม ก็ลงมาเกิดใหม่....เป็นอะไรก็แล้วแต่กรรมที่ทำไว้.....ทีนี้ พอมาเป็นคน ก็ชอบฝึกฌานอีก. เป็นโยคี เป็นอาจารย์ ตายไป..ก็วนไปเป็นเทวดา เป็นพรหมอีก...วนไปวนมา...นี่แหละ หลงทาง....วนเสียให้เข็ด...วนจนกว่าจะหายโง่ขอให้เจริญในสติ ในปัญญา ตามดู ตามเข้าใจปัจจุบันธรรม ให้ได้นะ เอวังด้วยประการฉะนี้

ร้านราเมงกับหุ่นยนต์ในญี่ปุ่น



ไม่นานมานี้ได้มีการรายงานข่าวของหุ่นยนต์พ่อครัวที่ทำราเมงขายในร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น โดยหุ่นยนต์พ่อครัวราเมงหรือบะหมี่แนวญี่ปุ่นนั้นมีชื่อเป็นที่รู้จักกันดีว่า FuA-Men ที่ย่อมาจาก Fully Automated reMen ซึ่งหุ่นยนต์ FuA-Men ถือเป็นหุ่นยนต์พ่อครัวราเมงที่สามารถประกอบอาหารอย่างราเมงในทุกขั้นตอนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนมาควบคุมการทำงาน

ซึ่งภายในร้านขางราเมงร้านนี้จะมีหุ่นยนต์อยู่สองตัวที่ทำหน้าภายในร้าน โดยที่ตัวแรกทำหน้าที่เป็นพ่อครัวและหุ่นยนต์อีกตัวทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพ่อครัว หุ่นยนต์ทั้งสองตัวเป็นหุ่นยนต์ที่ทำงานอัตโนมัติและสามารถทำงานในด้านการประกอบอาหารได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีขาดตกบกพร่อง ซึ่งในหนึ่งวันหุ่นยนต์จะสามารถทำราเมงได้ 80 ชามต่อวัน

หุ่นยนต์ FuA-Men จะมีความเที่ยงตรงในการประกอบอาหารทั้งในด้านปริมาณเครื่องปรุง เส้น เนื้อสัตว์ หรือส่วนประกอบอื่นๆ และที่สำคัญ หุ่นยนต์ FuA-Men จะใช้เวลาในการทำราเมงในแต่ละชามที่เท่ากัน รสชาติของราเมงแต่ละชามก็จะเหมือนกัน

ลูกค้าของร้านราเมงเปิดเผยว่า การรับประทานราเมงจากพ่อครัวที่เป็นหุ่นยนต์นี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับราเมงที่ทำมาจากพ่อครัวที่เป็นคน เนื่องจากในบางครั้งบะหมี่หรือราเมงแบบเดียวกันจะมีรสชาติต่างๆกันในแต่ละชามเนื่องจากความเที่ยงตรงของพ่อครัวที่เป็นคนจะมีไม่เท่าหุ่นยนต์พ่อครัวนั่นเอง

เจ้าของร้านราเมงเปิดเผยว่า ข้อดีของการใช้หุ่นยนต์พ่อครัวในการทำราเมงก็คือ สามารถควบคุมเวลาในการทำราเมง มีจำนวนที่แน่นอนในการทำราเมงต่อวันทำให้ง่ายต่อการวางแผนการตลาดและการควบคุมทางด้านยอดขาย ที่สำคัญหุ่นยนต์ FuA-Men ใช้ปริมาณเครื่องปรุง เนื้อสัตว์ ผักในปริมาณที่แน่นอน เที่ยงตรง ทำให้การจัดการในด้านวัตถุดิบสำหรับขายในแต่ละวันทำได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


หุ่นยนต์ FuA-Men ทั้งสองตัวนี้นอกจากจะทำราเมงบริการให้กับลูกค้าที่ร้านแล้ว พวกมันยังมีการแสดงท่าทางตลกแบบญี่ปุ่น เต้นท่าแปลกๆ และสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้าของร้านอีกด้วย

ซีทีเอเชียส่งหุ่นยนต์ไทยลุยนอก ประเดิมญี่ปุ่น-ดูแลคนชรา

นายเฉลิมพล ปุณโณทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีที เอเชีย โรบอทติกส์ จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาด หุ่นยนต์ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทเล็งเห็นโอกาสที่จะผลิตและทำตลาดหุ่นยนต์ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นรายแรกของโลก สำหรับส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีศักยภาพอย่างญี่ปุ่น หลังจากได้ศึกษาภาพรวมของตลาดหุ่นยนต์ของโลกมีแนวโน้มอัตราการเติบโตสูงมาก โดยสมาคมหุ่นยนต์ของญี่ปุ่นประเมินไว้ว่า ในอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า หรือปี"68 ตลาดหุ่นยนต์ทุกประเภทจะมีมูลค่ารวม 66,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าจะเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ ดังนั้น บริษัทจึงได้พัฒนาและผลิตหุ่นยนต์ไทยตัวแรกจากทีมวิศวกรไทย ซึ่งมุ่งเจาะตลาดทั้งในและต่างประเทศทั้งนี้ บริษัทได้วางแนวทางจะมุ่งพัฒนาและผลิตหุ่นยนต์ 3 ประเภท คือ หุ่นยนต์เพื่อการบริการในร้านอาหาร หุ่นยนต์เพื่อการศึกษา และหุ่นยนต์สำหรับดูแลคนชรา โดยขณะนี้บริษัทได้ใช้งบลงทุนไปแล้วกว่า 10 ล้านบาท เริ่มพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการบริการให้กับบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ จำกัด ผู้บริหารร้านอาหารสุกี้เอ็มเค จำนวน 10 ตัว ซึ่งจะเริ่มส่งมอบได้ 1 ตัวในปลายปีนี้ และกลางปี"53 จะส่งมอบได้ทั้งหมด ส่วนปีหน้าจะผลิตหุ่นยนต์เพื่อการศึกษา สำหรับสอนวิทยาศาสตร์ในพิพิธภัณฑ์ ศูนย์เพื่อการเรียนรู้และโรงเรียนต่างๆ นอกจากนี้ ในปีหน้ามีแผนจะนำหุ่นยนต์ที่ผลิตโดยทีมวิศวกรไทยไปโชว์ในงาน โรบอต เอ็กซ์โป กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงไตรมาส 2 และตั้งเป้าหมายเจาะตลาดหุ่นยนต์ญี่ปุ่นภายใน 3 ปี เนื่องจากความต้องการมีสูง และต้นทุนของหุ่นยนต์ไทยถูกกว่าหุ่นยนต์ที่ผลิตจากญี่ปุ่น 5-10 เท่า เนื่องจากค่าแรงสูงมาก คาดว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะหุ่นยนต์สำหรับดูแลคนชรา สำหรับในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าหมายจะมียอดขายจากการจำหน่ายหุ่นยนต์ 30 ล้านบาท ในส่วนของหุ่นยนต์เพื่อการบริการ แต่หุ่นยนต์เพื่อการศึกษาบริษัทยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ในขณะนี้